เรื่องนี้เป็นตอนที่ 3 สำหรับ ตอน 1 และ ตอน 2 click ได้ที่นี่นะคะ
ด้วยความภูมิใจมากมาย มีคนอ่าน diary เราถึง 10 คน เลยทำให้เราเกิดความฮึกเฮิมมาเขียนเรื่องราวไร้สาระของเราต่อให้ทุกท่านในตามล่าหาคำผิดต่อไปถึงตอนที่ 3
หลังจากที่ทีมไทยแพ้เกือบราบคาบ(เพราะอุปกรณ์สู้ของคนอื่นไม่ได้) แต่ความโดดเด่นในความเป็นเอเชียกลุ่มเดียวบนหาดนั้นไม่แพ้ใคร (นี่ขนาดรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนสวยหรือหน้าตาสะดุดตาอะไรเท่าไหร อยู่เมืองไทยไม่มีคนจีบเลย แต่พออยู่อิตาลี บางทีนึกว่าตัวเองเป็นดารา Hollywood เพราะคนมองแบบตาค้าง หรือเหลียวหลัง อยู่โน้นก็มั่นใจสิค่ะ ถึงชอบกลับไปบ่อยๆไง {กฎข้อนี้ใช้ได้เฉพาะผู้หญิง และใช้ได้เฉพาะเมืองที่ไม่มีคน Asia ถ้าไป Milan นี่อย่าหวัง ขอให้ไปเจอคนเกาหลีเดินแถว Duomo นึกว่าหลุดออกมาจากซีรี่ จะไปสู้อะไรกับเค้า})
ขอแนะนำตัวละครตัวใหม่ นางสาวดิ๊ว ที่บินตามมาเจอข้าพเจ้าจากอังกฤษ เพื่อนซี้ที่ได้มาจากสถาปัตจุฬา<ได้มาไม่กี่อย่างจริงๆ ปริญญายังเกือบไม่ได้> (ได้ขออนุญาตเพื่อนไหมในการเอารูปมาลงและมาเขียนเรื่อง บอกเลยว่าเปล่า) ถือตัวว่าเป็นเพื่อนสนิท
การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยการเช่ารถ Fiat Panda ซึ่งเป็นรถเช่าที่ถูกที่สุดที่จะหาได้ในอิตาลี รวมถึงเป็นเกียร์กระปุก เพราะเกียร์ auto ที่นี้จะแพง เบนก็เลยไปหัดขับเกียร์กระปุกไว้ได้สักพักแล้ว มาถึงตอนนี้ก็ขับได้พอใช้ แต่หลังจากจบทริปเพื่อนแทบไม่อยากให้เบนขับรถให้อีกเลย เพราะกลัวแม่เค้าจะต้องเสียลูกสาวคนโตไปบนท้องถนน และเนื่องจากเบนขับเกียร์กระปุกเป็นคนเดียว ก็ต้องรับหน้าที่ขับรถแต่เพียงผู้เดียว
จุดหมายแรกเลยของพวกเราคือ ร้านอาหารที่เบนอยากไปมานานมากแล้ว หากออกไป 3ชม. แถวนี้มีอยู่ไม่กี่ร้าน ก็ต้องเก็บให้หมด เพราะด้วยอาชีพได้ทำ reserch และถามเพื่อนๆนักกินชาวอิตาเลียนไว้ทั่วประเทศแล้วว่ามีของเด็ดอยู่ที่ไหนบ้าง มื้อแรกหลังจากยอมตายไม่ยอมทานของไม่อร่อยมาเป็นอาทิตย์ จนเป็นโรคกระเพาะ และผอมที่สุดหลังผ่านวัยทีน ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง ในเมือง Bernalda ที่ไม่มีอะไรเลย เพราะแค่ต้องการมากิน เลยทำให้เป็นเมืองผ่านทางและหาที่เที่ยวหลังอาหารต่อ that’s FOVE FOOD TOUR #weflyforfood
เมื่อได้ทานของอร่อย ความสุขเริ่มกลับมา แถวนี้ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว อาหารการกินก็จะราคาไม่แพงเท่าไหร ยิ่งเป็นตอนเที่ยงด้วย กินอย่างดีและอย่างอิ่ม Degustazione(tasting) menu ตกแค่หัวละ €35 เท่านั้นเอง
เมื่อกินอิ่ม อร่อย และมีความสุข ก็พร้อมที่จะเดินทางต่อไปที่เมือง Matera ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เมืองนี้เป็นเมืองโบราณ และเป็น UNESCO world heritage site บอกตรงๆเรื่องประวัติศาสตร์และข้อมูลน่ารู้นี่ขอบาย Museum นี่ขอผ่าน แค่ชอบกินและเดินดูเล่น คุยกับผู้คน
รูปมีค่อยข้างน้อย เพราะอะไรโปรดติดตามไปเรื่อยๆ แต่ยังไงก็ไม่พลาดต้องลงรุปตัวเองให้ดูด้วย ให้รู้ว่าเราไปจริงๆ ไม่ได้เอารูปคนอื่นมาลง และไหนๆนานๆทีจะถ่ายรุปตัวเอง เขิลจริงเป็นดาราหน้ากล้อง selfie stick คืออะไร(best gadget created ever!)
เมืองนี้จะเป็นแบ่งส่วนเมืองเก่าที่ชื่อว่า Sassi ซึ่งเป็น Historic center ที่รถไม่สามารถเข้าไปได้ (จะมีแต่รถผู้อยู่อาภัยเท่านั้นที่เข้าได้) และส่วนเมืองใหม่ที่พวกเราจอดรถทิ้งไว้แล้วต้องเดินเข้าไป หลังจากเดินเล่นมาสองชั่วโมง ก็เริ่มขี้เกียจจะเดินต่อ คือ คนขี้เกียจเนี้ย จะมีวิธีการที่จะทำให้งานเสร็จง่ายที่สุดและเร็วที่สุด ซึ่งเบนจัดเป็นคนในจำพวกนี้ ถึงจบมาจากถาปัตได้โดยไม่เคยอดนอน และครั้งนี้ก็ได้ใช้ skill นี้อีก เพราะหลังจากที่เดินขาลากมานาน พยายามจะกลับไปที่รถ ก็เจอคนเข้ามาคุยด้วย(หรือเดินเข้าไปคุยกับเค้าไม่รู้ จำไม่ได้) เห็นเค้ามีรถมอเตอร์ไซ ก็เลยถามว่าไปส่งพวกเราได้ไหม ขอซ้อนสาม ถ้ามาคนเดียวคงไม่กล้า เพราะไม่อยากโดดออกจากมอไซถ้ามีอะไรผิดพลาด เดี๋ยวศพไม่สวย แต่เมื่อมากันสองคนมีคนตายเป็นเพื่อนก็ค่อยโอเคหน่อย บอกตามตรงว่าคุยยังไงก็จำไม่ได้อีก แล้วเค้าก็ไปส่งให้จริงๆ โดนเตะอั๋งกันไปคนละนิดหน่อยเป็นค่าส่ง ถามว่าคุ้มไหม เบนตอบว่าคุ้ม เพราะนั่งหลัง แต่ถามดิ๊วว่าคุ้มไหม ดิ๊วอาจตอบว่าไม่คุ้มเพราะนั่งหน้า
เที่ยวกันเสร็จออกเดินทางเพื่อไปนอนพักที่เมือง Polignano A Mare เอาจริงๆก็ไม่รู้หรอกว่าเมืองนี้มีอะไร สวยไม่สวย แต่ว่าจะมาทานอาหารในถ้ำร้านนึงที่ตั้งใจไว้ พอมาถึง สวยน้ำตาไหลอะ ที่พักที่จองมาไม่มีแอร์ แต่เราทนได้
ก่อนหน้าที่จะให้เห็นวิวหน้าบ้าน คือเมื่อขับรถมาถึง เราก็ไปเล่นน้ำกันก่อนเลย
แล้วเบนก็โดน sea monsters สามตัวนี้ลากลงน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอด (เกิดอยากแต่งนิยายสยองขวัญขึ้นมา) ความจริงแล้วคือ ถึงน้ำที่นี้จะใส แต่หาดส่วนใหญ่มักเป็นหิน เพราะฉะนั้นเวลาเดินมันจะลื่นมาก ตอนตัวเองลงไปเสียใจไม่ได้ทำท่านี้ เลยลื่นเท้าเลือดออก น้ำก็หนาว แต่ก็สู้ตาย ว่ายน้ำออกไปมันจะมีถ้ำ ไอ้เราก็ว่ายเข้าไปในถ้ำ ไปเล่นพิเรน อยากไปเกาะหินยืนในถ้ำ แต่ดันกระทุ้งเท้าไปเตะหินอีก ขึ้นจากน้ำมานี่ คือ หน้าซีด ปากสั่น จะเป็นลมไม่เป็นลมแหล่ (คือไม่เข้าใจจริงๆ เพื่อนไม่ห่วงเลยอะ คงเห็นปกติแข็งแรงเป็นกระทิง แต่ตรูขับรถมาทั้งวันแล้ว อดข้าวมาเป็นอาทิตย์ ตรูเหนื่อย ให้โอกาศตรูไม่สบายบ้าง เห็นใจตรูบ้าง) ไอ้เราก็อยากไปดูพระอาทิตย์ตกดิน แต่ไปไม่ไหว หลังจากขับรถมานาน ลงน้ำเย็น เท้าเลือดออก เตะหินอีก เลยต้องไปนอนเอาแรง และก็ฝืนออกมาดูพระอาทิยต์ตก สวยจน(เกือบ)เลิกบ่นเลย
มื้อเย็นที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปเป็นร้านอาหารที่อยู่ในถ้ำ ซึ่งโด่งดังมาก เพราะมีคนจัด list ไว้ว่าเป็น 1 ใน 7 ร้านอาหารที่ Romantic ที่สุดในโลก ก่อนที่จะไปก็ตัดสินใจไปเปิดดูริวิว สิ่งที่ได้รู้คือ อาหารแพงมากก บริการแย่มาก เราก็เลยกลับมาตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไงดี แต่ว่านั่งคิดสักเป็ป ก็คิดว่า มาถึงตรงนี้แล้ว ถึงจะเห็นว่ารีวิวแย่มาก แต่ถ้าไม่ได้ไปจริงๆก็คงจะรู้สึกเสียดาย ก็เลยไปแบบไม่คาดหวังอะไรเลย
ร้านนี่มันดูดีสุดๆจริงๆ Romantic มาก อยู่ในถ้ำ มันเป็นร้านอาหารที่อยู่ในโรงแรม ซึ่งต้องเดินลงบันไดไป 4 ชั้น พอลงไปถึงก็เป็นถ้ำ ซ้ายมือเป็นทะเล ขวามือเป็นถ้ำที่มีน้ำเซาะมาด้านใน และเนื่องจากเรามาถึงเป็นคนแรกของร้าน (ร้านเปิดสองทุ่ม) คนส่วนใหญ่กินกันดึกกว่านั้น เราก็เลยเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ บริกรบอกว่า ตอนกลางคืนนั่งด้านในทางฝั่งถ้ำดีกว่า เพราะเค้าส่องไฟในถ้ำ และบรรยากาศทางฝั่งนี้ดีกว่าฝั่งทะเลที่มองออกไปเห็นแต่ความมืด แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันให้นั่งทางฝั่งทะเล
นี่โต๊ะของเราสองคน Romantic สุดๆปะละ
เมื่อถึงเวลาสั่งอาหาร ถึงรู้ว่าแพง แต่เห็นราคาอาหารก็ยังจุกนิดหน่อย เพราะจานนึงไม่ต่ำกว่า €50 เราก็เลยเลือกที่จะสั่งกันคนจะจาน กับไวน์อีกคนละแก้วเพื่อย้อมใจ และเมื่อหวนกลับมาถึงรีวิวที่ได้อ่านมา คงต้องบอกว่าพวกเราโชคดีที่ได้บริกรดี ใส่ใจและน่ารัก จึงทำให้พวกเรารู้สึกดีขึ้นมาอีกนิด ส่วนอาหารนั้นพวกเราสั่งเนื้อย่างกับข้าว farro และปลา คิดว่าน่าจะ cod
และด้วยความไม่คาดหวังอีกนั้นแหละ อาหารอร่อยกว่าที่คิด ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่ คือไม่ได้แบบอร๊อยอร่อย แต่อร่อยทานได้จนหมด ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าราคา ที่ตกหัวละเกือบ €100 อาหารหนึ่งจานไวน์หนึ่งแก้ว และค่า coperto ที่แพงกว่าร้าน 3 Michelin Star (แพงที่สุดที่เคยเจอมาละ ถ้าจำไม่ผิดคือ €25)
วันแรกของการเดินทางจบอย่างสวยงาม Cheer! หรือพูดว่า “Salute” ซาลูเต้ ในภาษาอิตาเลียน
ตอนแรกนึกว่าจะเขียนจนจบทริปได้ในเรื่องเดียว แต่แค่หนึ่งวันมันก็ยาวจนคนเขียนขี้เกียจจะเขียนต่อ ไว้ว่ากันต่อละกันนะคะ อ่านมาถึงตอนนี้ คนอ่านคงจะเหลือ 9 คน ตอนหน้าคงเหลือ 8 hahaha
จบตอน 2 ……to be continue …….
สนุกจ้ะ
เล่าให้ละเอียดและยาวกว่านี้ก็ได้นะ ยาวยังไงก็จะติดตามอ่านจ้ะ
LikeLike
หน้าม้าแม่ 🙂
LikeLiked by 1 person
สนุกดีจ้ะ
เขียนให้ละเอียด ยาวกว่านี้ก็ได้
ชอบอ่านจ้ะ
LikeLike