Diary ตอน4 เที่ยวส้นเท้าอิตาลี

ตอน 1     ตอน 2     ตอน 3

การผจญภัยวันแรกได้เริ่มขึ้นและจบลงในตอนที่ 3 บอกตรงๆว่านอกจากเรื่องกินแล้ว เรื่องเที่ยวไม่ค่อยได้วางแผนอะไรมาเท่าไหร วันที่สองตอนเช้าก็เลยเดินเล่นดูเมือง Polignano a Mare

eaac8514-b13a-41f6-8881-7a65b546e02a11817257_10153482644743186_5861583579908560112_n

เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ เดินนิดเดียวก็จบแล้ว เราก็เลยมาหาว่าจะไปเที่ยวไหนต่อดีวันนี้ ตอนแรกที่ตั้งใจไว้คืออยากไปเมืองชื่อ Bari ซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลวงของแคว้น Puglia เพราะว่าเมืองนี้เป็นต้นกำเนิดของชีส Burrata ซึ่งเป็นชีสที่เบนชอบที่สุดในโลก แต่หลังจากได้คุยกับเพื่อนอิตาเลียน แทบทุกคนบอกว่า Bari เป็นเมืองอันตราย ต้องระวังตัวมากๆและมันเป็นเมืองอุตสาหกรรมไม่มีอะไรน่าดูเท่าไหร เราก็เลยเปลี่ยนใจ กิน Burrata ที่เมืองอื่นก็ได้ฟะ ยังไงฉันก็ยังอยู่ใน Puglia น่าจะยังอร่อยเหมือนกัน

วันนี้แผนการที่วางไว้คือมีแค่ต้องการไป Alberobello ตอนเช้าก็เลยมีเวลาเหลือ เลยไปถามคนของโรงแรมว่ามีอะไรให้เที่ยวอีกแถวนี้ เค้าก็เลยบอกให้ไปถ้ำสิ Grottoe di Castellana ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 20 นาทีและเป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไป Alberobello เราก็เลยไปแวะกัน หลังจากเสียค่าที่จอดรถที่ต้องเดินค่อนข้างไกล (ถ้ามันไม่ร้อนแผดเผา ก็คงจะไม่บ่น แต่นี่แบบน้องๆ 40°C) เมื่อไปถึงเราก็พบว่า

grottaist1-1920x1284

มันสวยมาก แต่ไม่สวยพอที่จะทำให้เราอยากเดิน 2-4 ชั่วโมงในถ้ำด้วยรองเท้าที่ไม่พร้อมเพื่อไปเห็นภาพนี้ ถ้าใครจะไปควรจะต้องใส่รองเท้าผ้าใบแบบรัดกุม และเตรียมตัวมาอย่างดี พวกเราก็เลยเสียค่าที่จอดรถฟรีไป แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ และด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาด ก็เลยไปถึงเมือง Alberobello เที่ยงกว่าไปแล้ว คนขับรถเกิดอาการ Hangry ถึง Hangry(Hungry+Angry)

IMG_1626

 

ยังไงก็ไม่ยอมกินของไม่อร่อย เดินตากแดดเลือกร้านอาหารอยู่นานมาก ก่อนหน้าคือหลงทางด้วย เพราะไม่รู้อีเมืองที่เห็นในรูปมันอยู่ตรงไหน พยายามเปิดดูรีวิวของร้านอาหาร แล้วก็เดินไปหน้าร้านไปอ่านเมนู ไม่ถูกใจสะที จนร้านแทบจะปิดกันไปหมดแล้ว และในที่สุดก็ถอดใจ ทานร้านดูโดดเด่นที่สุดแถวนั้นกินแบบซักกะตาย(แล้วก็ไม่อร่อย) เพราะเมืองโบราณอันนี้มันกลายเป็นเมืองนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริงไปแล้ว

20150721_134527

 

หลังจากทานเสร็จอารมณ์ก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหรเพราะอาหารไม่อร่อย อากาศก็ร้อน เลยไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวเมือง และเมื่อเห็นเค้ามี Segway Tour ตั้งตระหง่าน ไม่มีใครใช้บริการ เรานี่แหละจะใช้เอง เมื่อถามราคาแล้ว มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม คนละ €10 แถมมี local guide ส่วนตัวสำหรับเราสองคนภายในเวลา 30 นาที ดีจะตาย ไม่ต้องเดิน แถมมีคนพาไปนั้นนี่ไม่ต้องเสียเวลาคลำ คนบางคนอาจจะไม่ชอบทำอะไรพวกนี้อย่างเช่น นั่งรถบัส Hop on Hop Off เที่ยวเมือง แต่เบนชอบ เพราะว่า ได้เห็นทุกอย่างที่ควรจะเห็น แล้วเราก็มาเลือกอีกทีว่าเราอยากจะแจะที่ไหน ส่วนใหญ่เบน Hop On 1 รอบแล้วไม่ Hop Off 5555 อยู่อิตาลี เห็นมีนั่งรถพวกนี้พาเที่ยวไม่ได้เลย ต้องขึ้น ยิ่งถ้ารถพาเที่ยวหน้าตาแปลกๆนี่ยิ่งชอบ ใครจะหาว่าฉันเป็น Tourist ก็ช่างเธอ หัวดำตัวเหลืองขนาดนี้คงเป็น local หรอกนะ

20150721_135504

20150721_141658

เมื่อได้ขับ segway เล่นอารมณ์ก็เลยดีขึ้นมานิดนึง เมืองนี้เป็นเมืองนารัก แต่ Touristy สุดๆ ถึงนักท่องเที่ยวจะไม่ได้เยอะจนเบียด แต่ก็มีแต่นักท่องเที่ยว local ก็ทำกิจการขายของให้นักท่องเที่ยว ทุกอย่างกลายเป็นธุรกิจท่องเที่ยวจนมันขาดเสน่ห์ความขลัง แต่มันก็ยังถือเป็นเมืองที่แปลก เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาของบ้านโบราณพวกนี้ บ้านแต่ละหลังนั้นเล็กมาก ที่มีการออกแบบอย่างงี้เพราะด้วยอากาศที่ร้อนมากในหน้าร้อน และหนาวมากในหน้าหนาว และยังมีสัญลักษณ์ความเชื่อต่างๆที่วาดไว้บนหลังคา ทำให้เบนรู้สึกว่าเมืองนี้เป็นเมืองแม่มด ไม่เชื่อดูหน้าตาเจ้าของบ้านที่เขาให้เข้าไปชมบ้าน

11813288_10153484094003186_8640127024726605690_n

ตอนแรกหลังจากจบ 30 นาทีของ segway tour ก็อยากจะเดินเที่ยวเองต่อ แต่อากาศร้อนทำให้อยากขึ้นรถไปเปิดแอร์มากกว่า evil side ที่เลือกความสบาย ชนะฝั่งของคุณธรรมที่ต้องการหาความรู้อย่างขาดรอย

จุดหมายคือเมือง Ceglie Messapica ซึ่ง again เป็นเมืองที่ไม่มีอะไรเลยยยยย แต่ว่าเบนต้องการมาทานอาหารเย็นที่ร้าน ชื่อ Cibus เพราะงั้นเราก็เลยมานอนที่เมืองนี้กันในคืนนี้ โดยเบนได้จองห้องด้วยการโทรศัพท์มาหาเจ้าของ B&B คุยกันอย่างดิบดี พอมาถึงหน้าประตู มากดกริ่งก็ไม่มีใครตอบ โทรไปก็ไม่รับ มันน่าหงุดหงิดมากจริงๆ เพราะเหงือแตกมาทั้งวัน อาหารเที่ยงก็ไม่อร่อย แล้วยังต้องมาเจอเจ้าของ B&B ชิ่งอีก แถมแบ็ตมือถือก็จะหมด ไอ้เราก็พยายามจะหาที่พักแถวนั้นด้วยการโทรไล่ตาม list ที่เคยหาไว้ โทรได้แค่ที่เดียว คุยกันไม่รู้เรื่องแล้วโทรศัพท์ก็ดับไป ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นก็เหลือแต่พึ่งโทรศัพท์ดิ๊วเท่านั้น จองโรงแรมผ่าน booking.com ที่พอใช้ได้และราคาโอเค เพราะเราก็ไม่ใช่คนเรื่องน้อยสะเมื่อไหร โรงแรมที่หาได้ มีที่จอดรถต้องออกนอกเมืองไปหน่อย แต่ปัญหาก็ไม่ได้หมดเท่านั้น เพราะมันต้องผ่าน center ของเมือง แล้ววันนี้ดันมีงาน ถนนปิด วนกันอยู่หลายรอบกว่าจะหาทางไปโรงแรมได้ พอไปถึงโรงแรมได้อย่างแรกเลยคือต้อง charge โทรศัพท์เพราะแผนที่ร้านอาหารอยู่ในนั้น  พักเหนื่อยได้เป๊ปเดียว พอให้มีแบ็ตก็เดินทางกลับเข้าเมืองไปตามล่าหาอาหาร

คือไม่รู้จะต้องผจญภัยอะไรนักหนาในแค่วันเดียวเนี้ย เฉลี่ยๆไปวันอื่นบ้างไม่ได้หรือไงก็ไม่รู้ พอเข้าเมื่อง google map นำทางไปที่จอดรถที่ใกล้ที่สุดกับร้านอาหาร แต่ก่อนจะถึงมันให้เลี้ยวเข้าไปในซอยซึ่งเล็กมาก และในที่สุดก็ถึงทางตัน และทางตันนั้นเป็นทางลาดขึ้น โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด จะทดสอบฝีมือขับรถอะไรกันนักหนา เป็นผู้หญิงก็ขับรถห่วยอยู่แล้ว แถมฉันเป็นผู้หญิงเอเชียอีก แล้วขับเกียร์กระปุกเป็นก็บุญแล้ว จะเอาอะไรกับฉันนนน

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านเค้าออกมานั่งหน้าบ้าน คุยกันเดินเล่น แดดเริ่มหมด เค้าเห็นตั้งแต่นางหัวดำสองคนเลี้ยงเข้าไปในซอยละ ทุลักทุเลพยายามถอยรถได้เป็ปเดียว ก็มีคนเดินเข้ามาช่วยโบกรถกันใหญ่เลย แถมพอโบกให้ออกจากซอยได้แล้ว มีผู้หญิงแก่ โบกรถให้ บอกว่าจอดหน้าบ้านเค้าได้เลย เดี๋ยวเค้าดูรถให้ คือเห้ย อะไรจะน่ารักกันทุกคนแบบนี้ ทำให้คนเมืองนี้ช่างมีน้ำใจ ยิ้มออกเลยค่ะ ถึงจะยังหิวอยู่ก็ตาม แต่ประทับใจมากจริงๆ เมื่อจอดรถโดยมีคุณป้าโบกให้เสร็จ ก็ถึงเวลาไปร้านอาหาร คือตื้นเต้นสุด มี sense ว่าร้านอาหารที่กำลังจะได้กินมันต้องอร่อย แบบ Follow Me, I know where the good food is 🙂

ร้านนี้อร่อยจริง Burrata กับ Black truffle อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาแล้ว แต่ไม่มีรูปให้ดู เพราะว่าวันพรุ่งนี้ จะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน และกล้อง Canon S110 แสนรัก ที่กำลังถ่ายภาพอาหารในมือ ได้หลุดลอยไปจากข้าพเจ้าตลอดการ

 

ตอน 5 ……… to be continue……….

 

 

2 comments

Leave a comment